การจัดอันดับ 10 ประเทศที่ยากจนที่สุดในปี 2023 ในบทความนี้ไม่ได้สะท้อนแค่สถิติทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับปัจจัยที่หลากหลาย ทั้งประวัติศาสตร์ความขัดแย้ง การเมืองที่ไม่มั่นคง ความไม่เสมอภาคทางสังคม และการขาดโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ นี่คือรายละเอียดเพิ่มเติมสำหรับแต่ละประเทศ:

1. เซาท์ซูดาน (GDP ต่อหัว: $455)

ประเทศเซาท์ซูดานเกิดขึ้นจากการแยกตัวเป็นเอกราชในปี 2011 และเผชิญกับสงครามกลางเมืองตั้งแต่ปี 2013 ความขัดแย้งทำให้ประเทศนี้ตกอยู่ในวิกฤตด้านมนุษยธรรม โดยประชากรกว่า 60% ต้องการความช่วยเหลือทางด้านอาหารและสุขอนามัย ความรุนแรงและการขาดโครงสร้างพื้นฐานทำให้เกษตรกรรมไม่สามารถพัฒนาได้เต็มที่ แม้ว่าจะมีแหล่งน้ำมันที่ใหญ่ก็ตาม แต่การขาดเสถียรภาพทางการเมืองและการทุจริตยังเป็นปัญหาสำคัญ

2. บุรุนดี (GDP ต่อหัว: $308)

บุรุนดีเป็นประเทศขนาดเล็กในแอฟริกากลางที่พึ่งพาเกษตรกรรมเพื่อยังชีพเป็นหลัก ประชากรประมาณ 80% ของประเทศมีรายได้จากการทำการเกษตร การขาดแคลนทรัพยากรทางธรรมชาติ สงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อ และการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง ทำให้เศรษฐกิจของประเทศยังไม่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ บุรุนดียังประสบกับปัญหาขาดแคลนน้ำและไฟฟ้า โดยมีประชากรเพียง 5% ที่สามารถเข้าถึงไฟฟ้าได้​

3. สาธารณรัฐแอฟริกากลาง (GDP ต่อหัว: $516)

แม้ว่าสาธารณรัฐแอฟริกากลางจะมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย เช่น ทองคำ น้ำมัน และเพชร แต่ความขัดแย้งทางการเมืองและสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อทำให้ประเทศตกอยู่ในความยากจน ความพยายามในการฟื้นฟูเศรษฐกิจเริ่มเห็นผลบ้างในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมไม้และเกษตรกรรม แต่ความไม่มั่นคงทางการเมืองยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนา

4. สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (GDP ต่อหัว: $1,552)

แม้ว่าคองโกจะเป็นผู้ผลิตโคบอลต์รายใหญ่ที่สุดของโลกและมีแหล่งทองแดงที่สำคัญ แต่ความขัดแย้งทางการเมืองและสงครามทำให้ประเทศนี้ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ คองโกยังประสบปัญหาการทุจริตและการขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในการพัฒนาเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ประชากรกว่า 65% ของประเทศยังคงมีชีวิตอยู่ด้วยรายได้น้อยกว่า $2.15 ต่อวัน​

5. โมซัมบิก (GDP ต่อหัว: $1,649)

โมซัมบิกเป็นประเทศในแอฟริกาตอนใต้ที่เผชิญกับความไม่สงบทางการเมืองและภัยพิบัติทางธรรมชาติบ่อยครั้ง เช่น พายุไซโคลนและน้ำท่วม ส่งผลให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานล่าช้า และประชากรส่วนใหญ่ยังคงพึ่งพาการเกษตรเพื่อยังชีพ ความพยายามในการพัฒนาเศรษฐกิจเริ่มเห็นผลบ้างในอุตสาหกรรมเหมืองแร่และก๊าซธรรมชาติ แต่ยังคงมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างคนรวยกับคนจน​

6. ไนเจอร์ (GDP ต่อหัว: $1,675)

ไนเจอร์เป็นหนึ่งในประเทศที่มีประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดในโลก แต่การขาดทรัพยากรพื้นฐาน การศึกษาที่ไม่เพียงพอ และการเข้าถึงสุขอนามัยที่ไม่ดี ทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถรองรับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้ ไนเจอร์ยังประสบปัญหาภัยแล้งบ่อยครั้งซึ่งส่งผลต่อการเกษตร และเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนา

7. มาลาวี (GDP ต่อหัว: $1,712)

มาลาวีเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจพึ่งพาเกษตรกรรมเป็นหลัก แต่การขาดโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถพัฒนาได้ ประชากรส่วนใหญ่ในมาลาวีทำการเกษตรเพื่อยังชีพ และยังคงประสบปัญหาการขาดแคลนอาหารและการเข้าถึงการศึกษา นอกจากนี้ ภาวะโลกร้อนยังทำให้เกิดภัยแล้งบ่อยครั้ง ส่งผลต่อการผลิตทางการเกษตรอย่างมาก

8. ไลบีเรีย (GDP ต่อหัว: $1,882)

แม้ว่าจะพ้นจากสงครามกลางเมืองในปี 2003 ไลบีเรียยังคงเผชิญกับความยากจนอย่างรุนแรง การระบาดของอีโบลาในปี 2014-2016 ทำให้เศรษฐกิจของประเทศต้องหยุดชะงัก ความพยายามในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศเริ่มเห็นผลในบางส่วน แต่โครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาเศรษฐกิจยังไม่สมบูรณ์​

9. มาดากัสการ์ (GDP ต่อหัว: $1,979)

มาดากัสการ์เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างรุนแรง ภัยแล้งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งส่งผลให้ประชากรส่วนใหญ่ไม่สามารถทำการเกษตรได้ตามปกติ การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานและการเข้าถึงการศึกษายังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศนี้

10. เยเมน (GDP ต่อหัว: $1,996)

เยเมนประสบกับสงครามกลางเมืองและการแทรกแซงจากภายนอกตั้งแต่ปี 2015 ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ประชาชนในเยเมนจำนวนมากต้องอาศัยความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเพื่อเอาชีวิตรอด นอกจากนี้ ความเสียหายทางโครงสร้างพื้นฐานจากสงครามยังทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถฟื้นตัวได้ในเร็วๆ นี้​

บทความนี้ชี้ให้เห็นถึงความซับซ้อนของความยากจนในแต่ละประเทศ ซึ่งไม่ได้เกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางสังคม การเมือง และสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน

แม้ว่าบุรุนดีจะมี GDP ต่อหัวที่ต่ำที่สุดในโลก แต่กลับถูกจัดอยู่อันดับ 2 ในบางรายงานเนื่องจากปัจจัยหลายประการที่แตกต่างกันในวิธีการคำนวณ GDP ต่อหัวและความยากจน:

  1. เกณฑ์การวัดที่แตกต่างกัน: แหล่งข้อมูลต่าง ๆ อาจใช้เกณฑ์การคำนวณที่แตกต่างกัน เช่น การใช้ GDP ต่อหัวตามราคาปัจจุบัน (Nominal GDP) หรือการใช้ค่าเทียบเท่ากำลังซื้อ (Purchasing Power Parity, PPP) ซึ่งอาจทำให้ประเทศที่มี GDP ต่ำที่สุดตาม Nominal GDP อยู่ในอันดับที่แตกต่างกันเมื่อใช้วิธีคำนวณอื่น
  2. การเติบโตทางเศรษฐกิจและปัจจัยด้านเวลา: รายงานบางฉบับอาจสะท้อนถึงข้อมูลในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน หรือมีการอัปเดตตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทำให้ลำดับการจัดอันดับมีการเปลี่ยนแปลงได้
  3. สภาพเศรษฐกิจและสังคม: ความยากจนไม่ได้ขึ้นอยู่กับ GDP ต่อหัวเพียงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ เช่น การเข้าถึงทรัพยากร ความมั่นคงทางอาหาร และสาธารณูปโภค เช่น น้ำสะอาดและไฟฟ้า ซึ่งบุรุนดีอาจยังมีข้อได้เปรียบเล็กน้อยในบางด้านเมื่อเทียบกับประเทศที่จัดอยู่ในอันดับหนึ่ง เช่น เซาท์ซูดาน ที่มีสงครามและปัญหาทางการเมืองที่รุนแรงกว่า

ดังนั้น การจัดอันดับอาจแตกต่างไปตามวิธีการและข้อมูลที่ใช้